ชื่อไทย : มหัศจรรย์รักของเบลล่า
ชื่ออังกฤษ : This Beautiful Fantastic (2016)
ประเภทหนัง : Comedy, Drama, Fantasy
เรื่องย่อ
This Beautiful Fantastic (2016) มหัศจรรย์รักของเบลล่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2016 ที่กำลังจะผ่านไปอย่างนี้ คนไทยก็ปรับตัวเข้าไปสู่โหมดเติมความสุขให้ตัวเองกันตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าแหล่งท่องเที่ยวตามแลนด์มาร์คสำคัญนั้นก็ยังคงการันตีที่พัก ขนส่งสาธารณะคิวเต็มเพราะคนเดินทางกลับบ้าน ส่วนคนกรุงฯ เองในหลายขวบปีที่ผ่านมาก็เลือกพักผ่อนหาอะไรเอนเตอร์เทนตัวเองและครอบครัวอยู่ใน กทม. กันมากขึ้น เพราะไม่ต้องการไปเบียดเสียดกับผู้คนในช่วง high season ซึ่งในช่วงนี้เมื่อพูดถึงเรื่องของหนัง เราก็มักจะจินตนาการถึงหนังพวกหนังตลก หนังเพลง หนังแอ็คชันแฟนตาซี โรแมนติกไปจนถึงหนังฟีลกู้ดประเภท ‘กินง่ายถ่ายคล่อง’ ออกมากันบ่อยหน่อย สำหรับ This Beautiful Fantastic เป็นอีกหนึ่งโปรเจ็กต์ที่ดัดแปลงมาจากนิยาย ซึ่งในปีนี้ เราจะเห็นหนังดัดแปลงจากวรรณกรรมหรือนิยายทยอยรีเม็คกันออกมาลงจอเงินกันไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น Fantastic Beasts and Where to Find Them, Miss Peregrine’s Home for Peculiar Children, The Revenant และกับเรื่องนี้ที่เปิดตัวมาในแบบหนังฟอร์มไม่ใหญ่ ไม่แมส แต่กลับมีความน่าสนใจอยู่ลึกๆ โดยเฉพาะเมื่อมองจากพล็อตเรื่องและบรรยากาศการออกแบบงานสร้าง รวมทั้งการแคสนักแสดงทุกตัวละครนั้น มีส่วนสำคัญที่ทำให้เรา ‘อิน’ ไปกับสิ่งที่หนังพยายามเซ็ตอัพขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้หนังจะไม่ใช่โรแมนติกจ๋า แต่มีมุขตลกและความแฟนตาซีเข้ามาแจมทำหน้าที่เพิ่มมิติให้กับหนัง รวมทั้ง ‘จังหวะ’ ของหนังในการเล่านั้นแตกต่างออกไปจากกลุ่มหนังแมสที่มักมี dynamic ตัดภาพเร็วๆ เนื้อเรื่องของ This Beautiful Fantastic มันเป็นเรื่องของ เบลลา บราวน์ (เจสสิก้า บราวน์ ฟินด์ลีย์) หญิงสาวรักสันโดษผู้ทำงานอยู่ในห้องสมุดที่วาดฝันประสบความสำเร็จกับถนนสายนักเขียนนิยายให้เด็กๆ ได้อ่านให้ได้ เธอมาพร้อมกับพลังชีวิตสดใส ดื่มด่ำหลงไหลและมองสิ่งต่างๆ รอบตัวแบบโลกสวยวิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ แต่เธอมีจุดอ่อนประหลาดๆ ตรงที่เกิดอาการแพ้ดอกไม้ และมีปมที่เกลียดต้นไม้มาก เนื่องจากเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกคนในครอบครัวมาทิ้งไว้ที่สวนดอกไม้, มีนิสัยแปลกๆ ไม่เหมือนใคร แถมย้ำคิดย้ำทำอีก จนกระทั่งมีบางอย่างที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตสวยๆ ของเธอคือ เจ้าของบ้านที่เธออาศัยอยู่นั้นหมดความอดทนยื่นคำขาดให้เธอจัดการสวนหลังบ้านที่เต็มไปด้วยหญ้ารกทึบให้เรียบร้อยใน 1 เดือน ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องเก็บข้าวของย้ายออกไป บีบให้เธอต้องไปขอความช่วยเหลือจากลุงอัลฟี่ สตีเฟนสัน (ทอม วิลคินสัน) เพื่อนบ้านที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรแถมปากคอเราะร้าย ซึ่งเรื่องราวทุกอย่างเริ่มต้นจากตรงนี้ สารภาพตามตรงว่าไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายกับหนังเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ส่วนตัวชื่นชอบความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบบริติช และหนังเรื่องนี้ก็สะกดเราได้อินกับบรรยากาศกลิ่นอายนิยายในสไตล์ผู้ดีได้ชัดเจน โทนหนังฟุ้งๆ ทั้งมุมมองภาพและความคิดอ่านตัวละคร โดยเฉพาะในช่วงแรกสุดที่หนังพยายามก่อร่างสร้างบรรยากาศขึ้นมาแบบเรียบง่าย ไปเรื่อยๆ เน้นปูรายละเอียดต่างๆ ของตัวละคร จนหนังเอื่อยไปหน่อยในช่วงแรกๆ ซึ่งหากใครนอนไม่อิ่มมาก็อาจเป็นยานอนหลับชั้นดีได้เหมือนกัน (ฮา) อย่างไรก็ตาม การได้ทำความรู้จักกับบุคลิกและนิสัยของ เบลลา ที่ขายแคแร็คเตอร์ความแปลก ไม่เหมือนใคร ดูเป็นผู้หญิงบ้าๆ ที่เหมือนเชื่อหรือหลงไหลอะไรอยู่คนเดียว แพสชันของตัวละครที่ เจสสิก้า ถ่ายทอดออกมานั้น มันมีอินเนอร์ส่งผ่านออกมาดึงให้เรารู้สึกสนใจกับตรงนั้น และพยุงให้เรายอมถ่างตาผ่านการผูกปมในช่วงแรกไปได้ ตัวหนังเล่าในมุมมองโลกของเบลล่า ที่มีต่อคนและสิ่งรอบตัวเธอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมิตรภาพ ความรักความอบอุ่น ที่หนังเหมือนจะพยายามใช้ปมความเป็นเด็กกำพร้าของเบลล่า มาเป็นจุดขายของหนังทำนองว่า เด็กกำพร้าที่ขาดความอบอุ่นจะรู้สึก ‘อิน’ เมื่อเธอถูก ‘เติมเต็ม’ จากสิ่งที่ขาดไปอย่างไร นั่นแหละมันน่าสนใจตรงนั้น ขณะเดียวกันเมื่อผ่านครึ่งแรกของหนังไปแล้ว หนังมีพัฒนาการตัวละครที่ค่อยๆ น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้กำกับเริ่มสอดแทรกความรู้สึกสูญเสีย ผิดหวัง สิ่งที่ย้อนแย้งสำหรับคนโลกสวยที่ตามมามากมาย และทำให้เธอเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่จะเปลี่ยนมุมมองในชีวิตของเธอ แม้ว่ามันอาจเป็นหนัง coming of age ที่เดาทางง่ายสำหรับคนดู แต่เมสเซจที่เป็นจุดขายของหนังเรื่องนี้เลยคือการดื่มด่ำไปกับ ‘ระหว่างทาง’ โดยเฉพาะการเอาเรื่อง หลักการจัดสวนและความงดงามจากสีสันของพันธุ์ไม้ต่างๆ มาปลดล็อคปมของเบลล่า เธอได้เรียนรู้จากสิ่งที่เธอเกลียด มองเห็นด้านที่สวยงามของมัน เหรียญอีกด้านของคนที่เธอเคยตัดสินเขาในแง่ลบ คนที่หน้าตาบึ้งตึง ดูงี่เง่ากลับกลายเป็นคนที่สอนและทำให้เธอค้นพบความสุขที่แท้จริงในชีวิต ส่วนตัวไม่มีปัญหากับหนังช้าๆ ที่จงใจละเลียดละมุนไปกับการเล่นกับความคิดตัวละคร ซึ่งจะแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ของหนัง แต่ มีจุดประทับใจในเรื่องความโดดเด่นเรื่องภาพ การเอาใจใส่กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำได้ดีเกินคาดในตัวของเนื้องาน และบทสรุปของหนังที่ใครก็ตามที่ได้ดูแล้วก็จะเดินออกมาจากโรงพร้อมพลังงานชีวิตที่เติมเต็ม พร้อมทิ้งข้อคิดให้กลับไปทบทวนสิ่งที่เราเคยตัดสินว่ามันดูเพ้อฝัน ความหวังลมๆ แล้งๆ หรือสิ่งที่ดูไร้สาระในจินตนาการของใครต่อใครนั้น แท้จริงมันคือ ‘ยาชูกำลัง’ โลกอีกใบที่จะทำให้มนุษย์ทุกคนมีชีวิตก้าวเดินต่อไปได้ต่างหาก